Knowledge about graphic
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ประเภทของกราฟฟิก
ประเภทของกราฟิกส์
การสร้างภาพกราฟิกด้วยคอมพิวเตอร์ มีวิธีการสร้าง 2 แบบ คือ แบบบิตแมพ (Bit Mapped) และแบบเวกเตอร์ (Vector) หรือสโตรก (Stroked) แต่ละแบบวิธีการรสร้างภาพดังต่อไปนี้
กราฟิกแบบบิตแมปความหมายที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา คือ มีลักษณะเป็นช่องๆ เหมือนตาราง แต่ละบิตก็คือส่วนหนึ่งของข้อมูลคอมพิวเตอร์ (ซึ่งก็คือสวิตซ์ปิดเปิดในหน่วยความจำ "1" หมายถึงเปิด และ "0" หมายถึงปิด) และสวิตซ์ปิดเปิดนี้ก็ยังหมายถึงสีดำและสีขาวอีกด้วย ดังนั้น ถ้าเราเอาบิตที่แตกต่างกันในแต่ละตารางมารวมกันเข้า เราจะสามารถสร้างภาพจากจุดดำและขาวเหล่านี้ได้ กราฟิกแบบบิตแมปทุกชนิดมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่บางประการ ถ้าทำความเข้าใจส่วนต่างๆ เหล่านี้ เราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
Pixel คืออะไร
พิกเซล (เป็นคำที่ใช้แทนองค์ประกอบของภาพ) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของภาพบิตแมป ซึ่งองค์ประกอบย่อยๆ เหล่านี้ถูกรวมกันเข้าทำให้เกิดภาพ เราคงคุ้นเคยกับการที่ส่วนประกอบย่อยๆ มารวมกันเพื่อประกอบเป็นรายการสิ่งของต่างๆ เป็นต้นว่า เอาแต่ละชิ้นของบล็อกกระจกมาประกอบกันเป็นหน้าต่าง แต่ละเข็มของการเย็บปักถักร้อยประกอบกันกลายเป็นผลงานทางด้านเย็บปักถักร้อย 1 ชิ้น หรือแต่ละจุดของโลหะเงินประกอบกันเป็นรูปภาพ 1 รูป นั้นคือองค์ประกอบอาจจะเป็นแก้วชิ้นใหญ่บนหน้าต่าง หรือจุดโลหะเงินเล็กๆ บนแผ่นฟิล์มก็ได้ โดยแต่ละชิ้นเป็นองค์ประกอบที่แยกจากกันช
โปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบทาง graphic design
Illustrator
โปรแกรม Illustrator เป็นโปรแกรมที่ใช้วาดภาพที่มีชื่อเสียงมาก ใช้ในการวาดภาพกราฟิก แบบ Vector ที่จะพบได้มากก็พวกวาดการ์ตูน หรือวาดภาพตามใบปริว แผ่นพับต่าง รวมถึงภาพในนิตยสารต่าง ถือว่าเป็นโปรแกรมที่มีความนิยมมากโปรแกรมหนึ่ง
ในงานออกแบบกราฟิก โปรแกรม ตระกูล Adobe นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่องของงานดังกล่าว นักออกแบบทุกหน่วยงานที่มักจะหาโปรแกรมเหล่านี้มาใช้ เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ใช้ได้ง่าย สีสันสวยงาม เหมาะแก่การผลิตชิ้นงานต่างๆ รวมทั้งยังมีบรรดา Plug-in ต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย และสามารถหาดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ทั่วไป ทำให้ผู้ออกแบบสามารถพัฒนางานกราฟิกออกมาได้หลากหลายและสวยงามแปลกตามากยิ่งขึ้น อีกทั้งปัจจุบัน Adobe ได้พัฒนาโปรแกรมเหล่านี้จนถึงเวอร์ชั่น Adobe Creative Suit 3 ทำให้บรรดาโปรแกรมกราฟิกในชุดนี้มีลูกเล่นเพิ่มเติม เหมาะสำหรับนักออกแบบกราฟิกผู้ซึ่งต้องการค้นหาสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ แม้ว่าบางคนยังฝังใจและคุ้นชินกับเวอร์ชั่นเก่าๆ ที่ใช้งานง่ายกว่าและค่อนข้างจะสนับสนุนการทำงานในโซนของประเทศไทย เนื่องจากเวอร์ชั่นเก่าๆนั้นสามารถรองรับภาษาไทยได้ดี ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสระลอย ซึ่งอย่างไรก็ตามนักออกแบบไทยหลายท่าน ยังได้หาวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวได้โดยใช้ software ช่วย หรือหาวิธีแก้โดยใช้เทคนิคที่มีอยู่ในโปรแกรม แล้วแต่ถนัดของแต่ละคน

Adobe PhotoShop
โปรแกรม AdobePhotoshop (เรียกสั้นๆว่า Photoshop)เป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์จากบริษัท Adobe System Incorporated ประเทศ สหรัฐอเมริกา เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างภาพ และการตกแต่งภาพที่เป็นที่นิยมมากที่สุอในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างภาพ และผลงานที่ได้เหมาะที่จะน่าไปใช้กับงานสิ่งพิมพ์ นิตยาสาร งานด้านมัลติมีเดีย และการสร้างภาพกราฟฟิกสำหรับเว็บที่นับวันกำลังพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เวอร์ชันแรกของ Photoshopได้ออกสู่สายต่ชาวโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา Adobe มีการพัฒนาโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเอาโปรแกรมAdobe ImageReady ซึ่งเป็นโปรแกรมตกแต่งภาพสำหรับเว็บไซต์เข้ามาเป็นเป็นส่วนหนึ่งของชุด Photoshop ด้วย ยิ่งทำให้มีความสามารถหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้Photoshop สามารถใช้ได้ทั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบPC และคอมพิวเตอร์แบบMacintosh จงยิ่งทำให้โปรแกรมPhotoshop เป็นจ้าวครองตลาดด้านซอฟต์แวร์ในหารตกแต่งกราฟฟิกที่ดีที่สุด
หากกล่าวถึงความสามารถของPhotoshop ว่าทำอะไรได้บ้างนั้น อาจต้องบรรยายสรรพคุณกันนานมาก แต่โดยสรุปแล้ว Photoshop มีความสามารถหลักอยู่ 2 ประการคือ
1. แก้ไขตกแต่งภาพถ่าย หรือภาพกราฟฟิก งานด้านนี้เป็นงานที่ Photoshop ถนัดนักกล่าวคือ Photoshopนั้น ถูกสร้างขึ้นเพื่องานด้านนี้โดยเฉพาะ ถ้ามีภาพถ่ายที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก หรือต้องการจะตกแต่งสีสันแก้ไขริ้วรอย เพิ่มความมืดความสว่างของภาพ หรือแม้แต่การนำเอาภาพถ่ายแนวนอนหลายๆภาพมาต่อกันให้เป็นภาพแบบ Panorama (ภาพที่มีขนาดยาวมาก) ก็สามารถใช้เครื่องมือที่โปรแกรมเตรียมมาไว้ให้ทำงานได้อย่างสบาย
2. ออก แบบสร้างสรรค์งานกราฟฟิก(สำหรับเว็บไซต์) นอกจากความสามารถในหารแก้ไข แต่งเติมแล้ว โปรแกรมยังมีความสามารถด้านการสร้างผลงานขึ้นเองได้ด้วย เช่น งานวาดและลงสีตัวการ์ตูน งานออกแบบสิ่งพิมพ์ งานด้านการสร้างารรค์ตัวอักษรและลวดลายแปลกๆ รวมถึงความสามารถในงานออกแบบและสร้างสรรค์องค์ประกอบต่างๆสำหรับเว็บไซต์ ซึ่งมีโปรแกรมคู่หูอย่าง ImageReady มาช่วยด้วย
องค์ประกอบสำคัญในการทำ Web ให้ ดูน่าสนใจ คงหนีไม่พ้นรูปภาพที่นำมาตกแต่ง ซึ่งผู้พัฒนาหลายๆ คน บ้างก็นำภาพสำเร็จมาใช้งาน บ้างก็นำภาพจากเวบอื่นๆ ที่ดูสวยงามมาใช้ และก็มีไม่น้อยที่สร้างภาพเอง โดยอาศัยโปรแกรมกราฟิกต่างๆ เช่น PhotoShop, PhotoImpact, Paint Shop เป็นต้น

Corel DRAW
เป็นโปรแกรมจำพวกจัดการรูปภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งรูปภาพดังกล่าวนั้นส่วนใหญ่จะเป็นภาพที่เกิดจาก จุด เส้น สี และอื่น ๆ ซึ่ง จุด เส้น สี และอื่น ๆ ที่ถูกสร้างด้วยโปรแกรม Corel DRAW นั้นจะสูตรทางคณิตศาสตร์ กำหนดค่าต่าง ๆ อย่างชัดเจนซึ่งค่าต่าง ๆ เหล่านี้ก็ได้มาจากการที่ผู้ใช้วาดภาพด้วยเครื่องมือต่าง ๆ แล้วตัวโปรแกรมจะสร้างสูตรต่าง ๆ ที่เหมาะสมให้เอง จากนั้นถึงแสดงผลออกมาเป็น จุด เส้น สี และอื่น ๆ ตามที่เราต้องการ เพราะ การทำงานที่เป็นสูตรต่าง ๆ นั้นเอง ที่มีทั้งค่าคงที่ และตัวแปร ทำให้เมื่อเราขยาย หรือย่อขนาดภาพ ตัวโปรแกรม CorelDRAW ก็จะนำค่าที่เปลี่ยนแปลง (เพราะปรับขนาด) มาคำนวนอีกทีแล้วถึงค่อยแสดงผล ทำให้ภาพนั้น ๆ คมชัดเสมอ และเพราะสิ่งเหล่านี้ เราจะเรียกภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะนี้ว่า ภาพแบบ vector base (ยังมีภาพแบบ raster อีกประเภทซึ่งจะไม่ขอกล่าวในตอนอื่น) ด้วย ลักษณะของการสร้างภาพดังย่อหน้าที่กล่าวมา บวกกับแนวคิดของโปรแกรม CorelDRAW ที่ยึดหลัก object (ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าไงนะ แต่มันประมาณนี้) ซึ่งกล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโปรแกรม CorelDRAW จะมองเสมือนเป็นวัตถุ (object) หนึ่ง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติของตัวมันเอง เช่นเส้นหนึ่งเส้นก็จะมีคุณสมบัติที่เราสามารถแก้ไขได้ เช่น ตำแหน่ง ความหนา และอื่น ๆ ทำให้หลาย ๆ คนที่พึ่งเคยจับ CorelDRAW ครั้งแรก อาจจะมึนงงกับ interface ไปบ้าง เพราะว่ามันทั้งเยอะ และเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่มันจะทำงานด้วยอยู่เสมอ แต่ถ้าเราทำความเข้าใจกับหลักการที่อิงวัตถุ และวัตถุมีคุณสมบัติของตัวมันเอง จะทำให้เราเข้าใจ CorelDRAW ได้ง่ายขึ้น ตรง เรื่องการอิงเรื่องวัตถุของ CorelDRAW นั้นต่างจากโปรแกรมคู่แข่งอย่างเช่น Illustrator อย่างเห็นได้ชัด Illustrator นั้นจะไม่อิงการทำงานแบบวัตถุให้เห็นซักเท่าไหร่ อีกทั้ง interface ต่าง ๆ ก็ไม่มากนักทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามันง่ายกว่า

อุปกรณ์ input/output & import / export devices
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในงานกราฟิก
คอมพิวเตอร์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ ในการสร้างงานกราฟิกได้หลายประเภท จึงมีอุปกรณ์มากมายที่ถูกนำมาใช้ร่วมกับโปรแกรมต่างๆ อุปกรณ์ที่ใช้ในงานกราฟิกที่พบเห็นบ่อยๆ มีดังนี้
อุปกรณ์นำเข้า (Input Device) คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่นำเข้าคำสั่งหรือข้อมูล
§ สแกนเนอร์ (Scanner) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหรือสแกนข้อมูลหรือภาพถ่ายบนเอกสารเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ได้รูปแบบเป็นภาพ โดยใช้แสงส่องกระทบวัตถุให้สะท้อนไปตกบนตัวรับแสงทีละแถว ข้อมูลจะถูกแปลงเป็นจุดเล็กๆ ในแบบดิจิตอลเข้าไปเก็บในคอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องกันทีละแถวของจุด จนกว่าจะจบภาพ
§ กล้องดิจิตอล (Digital Camera) สามารถถ่ายภาพในรูปแบบดิจิตอล ที่มีความละเอียดสูง ถึง 3 – 4 ล้านพิกเซลขึ้นไป เหมาะกับการใช้งานกราฟิก
§ จอสัมผัส (Touch Screen) เป็นจอที่ให้ผู้ใช้ใช้นิ้วชี้ที่หน้าจอ เพื่อสั่งงานบนหน้าจอได้ งานที่นิยมใช้หน้าจอแบบทัชสกรีน เช่น เครื่อง ATM (Automate Teller Machines), เกม, และซูเปอร์มาร์เก็ต
§ ปากกาแสง (Light Pen) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลที่ทำงานด้วยการตรวจจับแสงบนหน้าจอ CTR ของคอมพิวเตอร์ ใช้ในการคลิกเลือก และวาดบนหน้าจอเหมือนการใช้ Touch Screen แต่จะทำงานด้วยการตรวจจับแสงซึ่งใช้กับจอ CTR เท่านั่น ไม่สามารถทำงานกับจอ LCD หรือ Projector ทั่วไปได้
§ กระดานกราฟิก (Graphic Tablet) เป็นอุปกรณ์ที่รองรับการวาดภาพ สามารถทำงานกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง สนับสนุนกับโปรแกรมกราฟิกต่างๆ เช่น Photoshop, Illustrator เป็นต้น ทำให้สามารถวาดภาพ และแก้ไขภาพได้ จะแสดงผลเป็นภาพอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นหน้าจอ TFT เหมือนเครื่อง Tablet PC ซึ่งสามารถวาดภาพอยู่บนหน้าจอแสดงผลได้โดยตรง

อุปกรณ์ในการแสดงผล (Output Device) คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผล
§ เครื่องพิมพ์ (Printer) เครื่องพิมพ์ใช้แสดงผลงานลงบนกระดาษได้ทั้งตัวอักษรและรูปภาพ ปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบบ เพื่อการใช้งานต่างกัน ดังนี้
1. เลเซอร์พรินเตอร์ ทำงานโดยการยิงลำแสงเลเซอร์ เพื่อจัดเรียงผงหมึกให้เกิดเป็นภาพที่ต้องการ จากนั้นก็ใช้แรงดันและความร้อนผลักให้หมึกจับตัวติดกับเนื้อกระดาษ ผลลัพธ์มีความละเอียดมากที่สุด และมีความเร็วสูงสุดในบรรดาเครื่องพิมพ์ทั้งหมด เครื่องพิมพ์เลเซอร์มี 2 แบบ คือ ขาว/ดำ และสี ซึ่งแบบขาว/ดำ จะมีราคาอยู่ที่หมื่นกว่าบาท นิยมใช้ในงานพิมพ์เอกสารในสำนักงาน ส่วนแบบสีจะมีราคาอยู่ที่แสนกว่าบาท ซึ่งเหมาะกับงานกราฟิกชั้นสูง
2. อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ (Inkjet Printer) ใช้หลักการพ่นหมึกผ่านทางท่อพ่นหมึก เกิดจุดสีเล็กๆ เรียงต่อกันจนเกิดเป็นภาพ มีความละเอียดน้อยกว่าเลเซอร์นิดหน่อย ราคาเครื่องถูก แต่หมึกแพง และพิมพ์ช้ากว่าเลเซอร์ เหมาะสำหรับงานสี อาร์ตเวิร์ค สิ่งพิมพ์ และถ่ายสติ๊กเกอร์ หากจะใช้พิมพ์งานเอกสารสำนักงานทั่วไป ที่เป็นขาวดำ ราคาหมึกต่อแผ่น จะราคาสูงกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ อีกทั้งความละเอียด และความเร็วน้อยกว่ามาก
3. ดอตเมทริกซ์พรินเตอร์ (Dot Matrix Printer) จะใช้หัวเข็มกระแทกลงบนแผ่นหมึกคาร์บอน ทำให้เกิดรอยหมึกเป็นข้อความและภาพ ดอตเมทริกซ์เป็นพรินเตอร์ที่มีความละเอียดต่ำ ราคาหมึกถูก ราคาเครื่องปานกลาง แต่พิมพ์ช้าและมีเสียงดัง ไม่ค่อยนิยมใช้ในปัจจุบัน แต่มีประโยชน์ในด้านการพิมพ์ที่มีสำเนา ซึ่งยังมีการใช้งานอยู่เป็นจำนวนมากในงานสำนักงาน
4. พล็อตเตอร์ (Plotter) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วาดภาพบนกระดาษ โดยการรับคำสั่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่จะทำงานแตกต่างจากพรินเตอร์ตรงที่พล็อตเตอร์ จะวาดภาพโดยการวาดเป็นเส้น ด้วยปากกาแต่ละสีวาดผสมกัน ส่วนเครื่องพิมพ์จะพิมพ์ลงมาเป็นจุดสีคละกัน เกิดเป็นภาพ เราใช้พล็อตเตอร์ในการวาดแบบอาคาร หรือแบบทางวิศวกรรม ที่ถูกสร้างด้วยโปรแกรมออกแบบต่างๆ
การประยุกต์ใช้งานกราฟฟิก
การประยุกต์ใช้งานกราฟิก
การประยุกต์งานคอมพิวเตอร์กราฟิกสามารถจำแนกตามลักษณะของงาน ดังนี้
1. ) การออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟิกในงานออกแบบ : หรือที่เรียกว่า CAD (Computer Aided Design) ผู้ออกแบบสามารถนำสัญลักษณ์ที่โปรแกรมมีไว้มาประกอบกัน เพื่อแก้ไขได้สะดวก ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

2.) การแสดงผลข้อมูล : การใช้โปรแกรมเพื่อสร้างภาพ ทำให้การสื่อสารดีกว่าการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือข้อความ เช่น ภาพถ่ายทางการแพทย์ แสดงให้เห็นโครงสร้างภายในร่างกายของผู้ป่วย ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เป็นต้น

3.) การจำลองการทำงาน : : การนำคอมพิวเตอร์มาจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชำนาญก่อนปฏิบัติกับอุปกรณ์จริง เช่น การจำลองการทำงานในวงการ ให้ดูสมจริง เป็นต้น

4.) การออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ : ระบบปฏิบัติการซอฟต์แวร์ ต่าง ๆ
ต้องใช้ภาพกราฟิกในการสั่งงาน เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ

ชนิดและรูปแบบไฟลฺกราฟฟิก
ชนิดและรูปแบบไฟล์กราฟิก
กราฟิกไฟล์สำหรับอินเทอร์เน็ต
ไฟล์กราฟิกที่สนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันมี 3 ไฟล์หลัก ๆ คือ
1. ไฟล์สกุล GIF ( Graphics Interlace File)
2. ไฟล์สกุล JPG ( Joint Photographer's Experts Group)
3. ไฟล์สกุล PNG ( Portable Network Graphics)
ไฟล์กราฟิกที่สนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันมี 3 ไฟล์หลัก ๆ คือ
1. ไฟล์สกุล GIF ( Graphics Interlace File)
2. ไฟล์สกุล JPG ( Joint Photographer's Experts Group)
3. ไฟล์สกุล PNG ( Portable Network Graphics)
1. ไฟล์สกุล GIF (Graphics Interlace File)

- ต้องการไฟล์ที่มีขนาดเล็ก
- จำนวนสีและความละเอียดของภาพไม่สูงมากนัก
- ต้องการพื้นแบบโปร่งใส
- ต้องการแสดงผลแบบโครงร่างก่อน แล้วค่อยแสดงผลแบบละเอียด
- ต้องการนำเสนอภาพแบบภาพเคลื่อนไหว
2. ไฟล์สกุล JPG
(Joint Photographer’s Experts Group)

1. ภาพที่ต้องการนำเสนอมีความละเอียดสูง และใช้สีจำนวนมาก (สนับสนุนถึง 24 bit color)
2. ต้องการบีบไฟล์ตามความต้องการของผู้ใช้
3. ไฟล์ชนิดนี้มักจะใช้กับภาพถ่ายที่นำมาสแกน และต้องการนำไปใช้บนอินเทอร์เน็ต
เพราะให้ความคมชัดและความละเอียดของภาพสูง
3.
ไฟล์สกุล PNG (Portable Network Graphics)
จุดเด่น
- สนับสนุนสีได้ถึงตามค่า True color (16 bit, 32 bit หรือ 64 bit)
- สามารถกำหนดค่าการบีบไฟล์ได้ตามที่ต้องการ
- มีระบบแสดงผลแบบหยาบและค่อยๆ ขยายไปสู่ละเอียด ( Interlace)
- สามารถทำพื้นโปร่งใสได้
จุดเด่น
- สนับสนุนสีได้ถึงตามค่า True color (16 bit, 32 bit หรือ 64 bit)
- สามารถกำหนดค่าการบีบไฟล์ได้ตามที่ต้องการ
- มีระบบแสดงผลแบบหยาบและค่อยๆ ขยายไปสู่ละเอียด ( Interlace)
- สามารถทำพื้นโปร่งใสได้
สีและแสงที่ใช้ในงานกราฟฟิก
สีและแสงที่ใช้ในงานกราฟิก
ปกติเมื่อพูดถึงสี มักจะนึกถึงแม่สี 3 สีแต่อย่างไรก็ตาม การใช้สีกับงานกราฟิกในคอมพิวเตอร์ มีรายละเอียดหลายประการ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ดังนั้นจึงควรทราบระบบสี
สีที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไป มี 4 ระบบ คือ
1. RGB
2. CMYK
3. HSB
4. LAB
1.) RGB : เป็นระบบสีที่ประกอบด้วยแม่สี 3 สี คือ สีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน เมื่อนำมาผสมกันทำให้เกิดสีได้มากถึง 16.7 ล้านสี ซึ่งใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็นปกติ ถ้าสีมีความเข้มมากเมื่อนำมาผสมกันจะทำให้เกิดเป็นสีขาว จึงเรียกระบบสีนี้ว่าแบบ Additive

2.CMYK: ประกอบด้วยสีหลัก 4 สีคือ สีฟ้า , สีม่วงแดง , สีเหลือง และสีดำ เมื่อนำมาผสมกันจะเกิดสีเป็นสีดำแต่จะไม่ดำสนิทเนื่องจากหมึกพิมพ์มีความไม่บริสุทธิ์ จึงเป็นการผสมสีแบบลด หลักการเกิดสีของระบบนี้ คือ หมึกสีหนึ่งจะดูดกลืนแสงจากสีหนึ่งและสะท้อนกลับออกมาเป็นสีต่างๆ

3.) HSB: เป็นระบบสีแบบการมองเห็นของสายตามนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
-> Hue คือ สีต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาจากวัตถุแล้วเข้าสู่สายตาของเรา
-> Saturation คือ ความสดของสี โดยค่าความสดของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 แต่ถ้ากำหนดที่ 100 สีจะมีความสดมาก
-> Brightness คือ ระดับความสว่างขอสี โดยค่าความสว่างของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100

4.) LAB: เป็นระบบสีที่ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ใด ๆ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
-> A เป็นค่าของสีที่ไล่จากสีเขียวไปสีแดง
-> B เป็นค่าของสีที่ไล่จากสีน้ำเงินไปเหลือง

หลักการทำงานและการแสดงผลของภาพกราฟิก
หลักการทำงานและการแสดงผลของภาพคอมพิวเตอร์กราฟิก
ภาพที่เกิดบนจอคอมพิวเตอร์ เกิดจากการทำงานของโหมดสี RGB ซึ่งประกอบด้วย สีแดง (Red) สีเขียว (Green) และสีน้ำเงิน (Blue) โดยใช้หลักยิงประจุไฟฟ้าให้เกิดการเปล่งแสงของสีทั้ง 3 สีมาผสมกัน ทำให้เกิดเป็นจุดสีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เรียกว่า พิกเซล (Pixel) ซึ่งมาจากคำว่า Picture กับ Element โดยพิกเซลจะมีหลากหลายสี เมื่อนำมาวางต่อกันจะเกิดเป็นรูปภาพ ซึ่งภาพที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มี 2 ประเภท คือ แบบ Raster กับ Vector หลักการของกราฟิกแบบ Raster Raster หรือแบบ Bitmap เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวกันของจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลากหลายสี ซึ่งเรียกจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ว่าพิกเซล (Pixel) ในการสร้างภาพกราฟิกแบบ Raster จะต้องกำหนดจำนวนของพิกเซลให้กับภาพที่ต้องการสร้าง ถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลน้อย เมื่อขยายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้มองเห็นภาพเป็นจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ หรือถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลมากก็จะทำให้แฟ้มภาพมีขนาดใหญ่ ดังนั้นการกำหนดพิกเซลจึงควรกำหนดจำนวนพิกเซลให้เหมาะกับงานที่สร้าง คือ ถ้าต้องการใช้งานทั่วไป จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 100-150 ppi (Pixel/inch) “จำนวนพิกเซลต่อ 1 ตารางนิ้ว” ถ้าเป็นงานที่ต้องการความละเอียดน้อยและแฟ้มภาพมีขนาดเล็ก เช่น ภาพสำหรับใช้กับเว็บไซต์จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 72 ppi และถ้าเป็นงานพิมพ์ เช่น นิตยสาร โปสเตอร์ขนาดใหญ่ จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 300-350 ppi เป็นต้น
หลักการของกราฟิกแบบ Vector
เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ หรือการคำนวณซึ่งภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน โดยแยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง รูปทรง เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพจะไม่ลดลง แฟ้มจะมีขนาดเล็กกว่าแบบ Raster ภาพกราฟิกแบบ Vector นิยมใช้เพื่องานสถาปัตย์ตกแต่งภายใน และการออกแบบต่างๆ เช่น การออกแบบอาคาร การออกแบบรถยนต์ การสร้างโลโก้ การสร้างการ์ตูน
ความหมายเกี่ยวกับกราฟฟิก
ความหมายของกราฟิก
กราฟฟิก (Graphic) มาจากภาษากรีก 2 คำคือ
1. Graphikos หมายถึง การวาดเขียน
2. Graphein หมายถึง การเขียน
ต่อมามีผู้ให้ความหมายของคำว่า “กราฟิก” ไว้หลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้
กราฟิก หมายถึง ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ
กราฟิกประกอบด้วย
1. ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพที่มีการเก็บข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดงค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน (คล้ายๆ กับการปักผ้าครอสติก) ทำให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูลจำนวนมาก เมื่อจะนำมาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบอัดข้อมูล ฟอร์แมตของภาพบิตแมพ ที่รู้จักกันดี ได้แก่ .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF
2. ภาพเวกเตอร์ (Vector) เป็นภาพที่สร้างด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และคุณสมบัติเกี่ยวกับสีของเส้นนั้นๆ ซึ่งสร้างจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น ภาพของคน ก็จะถูกสร้างด้วยจุดของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง (Outline) และสีของคนก็เกิดจากสีของเส้นโครงร่างนั้นๆ กับพื้นที่ผิวภายในนั่นเอง
3. คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บภาพ จำนวนมากๆ ในลักษณะของตารางภาพ หรือห้องสมุดภาพ หรือคลังภาพ เพื่อให้เรียกใช้ สืบค้น ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
4. HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ที่พบได้บนสื่อมัลติมีเดีย มีความสามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหา หรือรายละเอียดอื่นๆ มีการกระทำ เช่น คลิก (Click) หรือเอาเมาส์มาวางไว้เหนือตำแหน่งที่ระบุ (Over)
กราฟฟิก (Graphic) มาจากภาษากรีก 2 คำคือ
1. Graphikos หมายถึง การวาดเขียน
2. Graphein หมายถึง การเขียน
ต่อมามีผู้ให้ความหมายของคำว่า “กราฟิก” ไว้หลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้
กราฟิก หมายถึง ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ
กราฟิกประกอบด้วย
1. ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพที่มีการเก็บข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดงค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน (คล้ายๆ กับการปักผ้าครอสติก) ทำให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูลจำนวนมาก เมื่อจะนำมาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบอัดข้อมูล ฟอร์แมตของภาพบิตแมพ ที่รู้จักกันดี ได้แก่ .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF
2. ภาพเวกเตอร์ (Vector) เป็นภาพที่สร้างด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และคุณสมบัติเกี่ยวกับสีของเส้นนั้นๆ ซึ่งสร้างจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น ภาพของคน ก็จะถูกสร้างด้วยจุดของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง (Outline) และสีของคนก็เกิดจากสีของเส้นโครงร่างนั้นๆ กับพื้นที่ผิวภายในนั่นเอง
3. คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บภาพ จำนวนมากๆ ในลักษณะของตารางภาพ หรือห้องสมุดภาพ หรือคลังภาพ เพื่อให้เรียกใช้ สืบค้น ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
4. HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ที่พบได้บนสื่อมัลติมีเดีย มีความสามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหา หรือรายละเอียดอื่นๆ มีการกระทำ เช่น คลิก (Click) หรือเอาเมาส์มาวางไว้เหนือตำแหน่งที่ระบุ (Over)
บาบาทและความคำสัญของกราฟิก
งานกราฟิกต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนแก่นสารของประสบการณ์สำหรับมนุษย์
เพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นสื่อในการคิดและสื่อสารความหมายถึงกัน ด้วยคุณสมบัติที่ดีของงานกราฟิกทำให้งานกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการลดข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนเวลา ประสิทธิภาพของการคิด การบันทึกและการจำ ทำให้การสื่อความหมายต่อกันของมนุษย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
และด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นและความเป็นโลกไร้พรมแดน ความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับงานกราฟิกมากขึ้น

กราฟฟิกเข้ามามีบทบาทในด้านต่างๆดังนี้
1) ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ
2) ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
3) จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น และความเป็นโลกไร้พรมแดน
4) ความแตกต่างระว่างบุคคล
ประวัติเกี่ยวกับ กราฟฟิก
งานกราฟิก มีประวัติความเป็นมาตามหลักฐานในอดีต เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการขีดเขียน ขูด จารึกเป็นร่องรอย ให้ปรากฏเป็นหลักฐานในปัจจุบัน การออกแบบกราฟิกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จึงเป็นการเริ่มต้นการสื่อความหมายด้วยการวาดเขียน
ต่อมาประมาณ 9000 ปี ก่อนคริสต์กาล ชาว Sumerienในแคว้นเมโสโปเตเมีย ได้เริ่มเขียนตัวอักษรรูปลิ่ม (Cuneiform) และตัวอักษร Hieroglyphic ของชาวอียิปต์ งานกราฟิกเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น เมื่อได้คิดค้นกระดาษและวิธีการพิมพ์ ปี ค.ศ.1440 Johann Gutenberg ชาวเยอรมัน ได้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบตัวเรียง ที่สามารถพิมพ์ได้หลายครั้ง ครั้งละจำนวนมากๆ
ในปี ค.ศ.1950 การออกแบบได้ชื่อว่าเป็น Typographical Style เป็นการพัฒนาโดยนักออกแบบชาวสวิส ได้นำวิธีการจัดวางตัวอักษรข้อความและภาพเป็นคอลัมภ์ มีการใช้ตารางช่วยให้อ่านง่ายมีความเป็นระเบียบ สวยงาม มีการจัดแถวของข้อความแบบชิดขอบด้านหน้าและด้านหลังตรงเสมอกัน ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา การออกแบบกราฟิก ได้พัฒนาและขยายขอบเขตงานออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดอยู่แต่ในสิ่งพิมพ์เท่านั้น
ปัจจุบันงานคอมพิวเตอร์กราฟิก จึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบ การออกแบบและสร้างสรรค์งานกราฟิกอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ความสะดวก รวดเร็ว แก้ไขงาน ทำซ้ำงานทำได้ง่าย ตลอดจนการสั่งพิมพ์ หรือบันทึกเพื่อการพกพาในรูปแบบอื่นๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)